วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร

วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร (ไทยถิ่นเหนือ: ) พระอารามหลวง ชั้นโท ชนิดราชวรวิหาร ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย วัดมีความสูงจากระดับที่ราบเชียงใหม่ราว 689 เมตร และมีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 1,046 เมตร เป็นหนึ่งในวัดที่มีความสำคัญมากที่สุดของจังหวัดเชียงใหม่ นอกจากนี้ยังประกอบด้วยจุดชมทิวทัศน์ที่สามารถมองเห็นเมืองเชียงใหม่ได้ทั้งหมด

ประวัติ วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร

วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร พ.ศ. 1912 พญากือนาได้นิมนต์พระสุมนเถระมาเผยแผ่พระพุทธศาสนายังเมืองเชียงใหม่ พระสุมนเถระได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุที่ค้นพบ ณ เมืองปางจา (บางขลัง) มาด้วย แต่พญากือนาให้พำนักที่วัดพระยืนก่อน เมื่อสร้างวัดสวนดอก เสร็จใน พ.ศ. 1914 จึงนิมนต์พระสุมนเถระมาจำพรรษาที่วัดสวนดอก พระบรมสารีริกธาตุได้แสดงปาฏิหาริย์แยกเป็น 2 องค์ จึงเชิญพระบรมสารีริกธาตุหนึ่งองค์บรรจุในพระเจดีย์วัดสวนดอกส่วนพระบรมสารีริกธาตุอีกองค์ พญากือนากับพระสุมนเถระได้เชิญขึ้นประดิษฐานในสัปคับบนหลังช้างมงคล อธิษฐานเสี่ยงช้างมงคลเพื่อเสี่ยงทายสถานที่ประดิษฐาน ช้างออกจากประตูหัวเวียงแล้วเดินขึ้นดอยสุเทพ ช้างหยุดอยู่ที่แห่งหนึ่ง เพื่อหนุนหยุดพัก พญากือนากับพระสุมนเถระอาราธนาไปต่อ ดอยลูกนั้นได้ชื่อว่าดอยหมากขนุน (ดอยหมากหนุน) ช้างมงคลเดินต่อจนไปถึงที่แห่งหนึ่ง เป็นที่ราบเพียงงาม พญากือนากับพระสุมนเถระคิดจะประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่นั่น แต่ช้างมงคลยังเดินต่อไป ที่นั้นได้ชื่อว่าสนามยอดดอยงาม

ภายหลังเพี้ยนเป็นสามยอด (คือวัดสามยอดร้าง) พอช้างมงคลไต่ราวดอยเดินมาถึงยอดดอยสุเทพ มันก็ร้องแส่นสะเทือน 3 ครั้ง พร้อมกับทำประทักษิณ 3 รอบ แล้วคุกเข่าอยู่เหนือยอดดอย พญากือนาจึงให้เชิญพระบรมสารีริกธาตุลงจากหลังช้าง ช้างมงคลก็ล้มไป จึงโปรดเกล้าฯ ให้ขุดดินลึก 3 ศอก เอาแท่นหินใหญ่ 7 แท่น มาวางเป็นรูปหีบใหญ่ในหลุม แล้วอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุลงประดิษฐานไว้ จากนั้นถมด้วยหิน แล้วก่อพระเจดีย์สูง 5 วา ครอบบนนั้น ด้วยเหตุนี้จึงห้ามพุทธศาสนิกชนที่ไปนมัสการสวมรองเท้าใน บริเวณพระธาตุ และมิให้สตรีเข้าไปบริเวณนั้น แต่บางตำนานว่าพญากือนาเอาพระบรมสารีริกธาตุบูชาก่อน แล้วบรรจุใน พ.ศ. 1927

พ.ศ. 2081 พระเมืองเกษเกล้า ได้โปรดฯ นิมนต์พระมหาญาณมงคลโพธิ์ วัดอโศการาม (วัดรมณียาราม) เมืองลำพูน ให้สร้างเสริมพระเจดีย์ให้สูงกว่าเดิม เป็นกว้าง 12 ศอก สูง 44 ศอก พร้อมทั้งให้ช่างนำทองคำทำเป็นรูปดอกบัวทองใส่บนยอดเจดีย์ ต่อมาท้าวซายคำ โปรดฯ ให้ตีทองคำเป็นทองจังโกหุ้มองค์พระเจดีย์พ.ศ. 2085 พระมหาญาณมงคลโพธิ์ วัดอโศการาม เมืองลำพูน สร้างพระวิหารทิศตะวันตกตะวันออกพร้อมระเบียงล้อมพระธาตุ และ พ.ศ. 2090 พระมหาญาณมงคลโพธิ์ได้สร้างขั้นได (บ้นได) นาคหลวงทั้ง 2 ข้าง เพื่อให้ประชาชนขึ้นไปสักการะได้สะดวกขึ้น อุบาสกชื่อมังคลสีลาได้สร้างพระอุโบสถ โดยมีราชครูเจ้าสวนดอกไม้เป็นประธาน[1]


วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร บันไดนาค วัดพระธาตุดอยสุเทพฯ ระหว่างปี พ.ศ. 2453 – 2463พ.ศ. 2331 พระเจ้ากาวิละ เจ้าอุปราช (เจ้าธัมมลังกา) และเจ้ารัตนะหัวเมืองแก้ว (เจ้าคำฝั้น) พร้อมกันสร้างฉัตร และยกฉัตรพระธาตุดอยสุเทพพ.ศ. 2348 พระเจ้ากาวิละสร้างพระวิหารทิศตะวันตกขึ้นใหม่ พร้อมยกฉัตรพระธาตุดอยสุเทพขึ้นใหม่ ต่อมาฟ้าผ่าใส่ฉัตรพระธาตุ ใส่ลูกแก้วยอดฉัตรใหม่ พ.ศ. 2349 ได้สร้างพระวิหารทิศตะวันออกขึ้นใหม่ มีการฉลองอบรมสมโภชพ.ศ. 2370 พระยาพุทธวงศ์ได้ถวายฉัตรหลวงรายพระเจดีย์ทั้ง 4 มุม[2]พ.ศ. 2403 พระเจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์ได้ถวายเดงหลวง (ระฆังใหญ่) ไว้กับพระธาตุดอยสุเทพพ.ศ. 2416 พระเจ้าอินทวิชยานนท์สร้างพระวิหารขึ้นใหม่ ฉลองเบิกบายเมื่อ พ.ศ. 2419พ.ศ. 2437 วันเพ็ญ เดือน 8 (เหนือ) พระเจ้าอินทวิชยานนท์ตั้งตำแหน่งสังฆราชาทั้ง 7 ที่วัดพระธาตุดอยสุเทพ ตั้งครูบาวัดฝายหิน (อุ่นเรือน โสภโณ) เป็นปฐมสังฆราชานายก ตั้งครูบาญาณโพธิ วัดสันคะยอมเป็นทุติยะ ตั้งครูบาอริยะ วัดหนองโขงเป็นตติยะ ตั้งครูบากาวิละวงษ์ วัดพวกแต้มเป็นจตุตถะ ตั้งครูบาคันธา (จันทร์แก้ว คนฺธาโร) วัดเชตุพนเป็นปัญจมะ ครูบาปินตา (อินตา) วัดป่ากล้วยเป็นฉัฏฐะ ครูบาเทพวงศ์ (เทพวงศ์ เทววํโส) วัดนันทรามเป็นสัตตะ

พ.ศ. 2463 ครูบาศรีวิชัยได้มาบูรณะวัดพระธาตุดอยสุเทพ หมดเงินทั้งสิ้น 221 รูเปีย และได้บูรณะพระอุโบสถ[3]พ.ศ. 2473 พระอภัยสารทะ (ก้อนแก้ว อินฺทจกฺโก) เจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าดารารัศมี พระราชชายา หลวงอนุสารสุนทรกิจ (สุ่นฮี้ ชุติมา) ได้ทำการหล่อซ่อมแซมเดงหลวง (ระฆังใหญ่) สมัยพระเจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์ใหม่ มีการเพิ่มจารึกภาษาล้านนา ไทย จีน ลายธาตุประจำปีเกิด ลายชะตาประจำปีเกิดพ.ศ. 2475 เจ้าแก้วนวรัฐได้นิมนต์ครูบาเถิ้ม (โสภา โสภโณ) วัดแสนฝาง ให้ขึ้นไปเป็นเจ้าอาวาสวัดพระธาตุดอยสุเทพ โดยมีขะโยม (เด็กวัด) เพียง 2 คนตามไปดูแล ตอนนั้นการเดินทางขึ้นเขาลำบาก เต็มไปด้วยสัตว์ร้ายต่างๆ นานา เวลาจะดื่มน้ำต้องเดินเท้าไปตักจากดอยปุย ต่อมาครูบาเถิ้มได้ทำรางน้ำเชื่อมลงมาจากดอยปุยเป็นท่อไม้ไผ่ให้น้ำไหลลงมาวัดพระธาตุดอยสุเทพ คณะสงฆ์ได้ถวายเงินให้ 1,000 รูเปีย เพื่อใช้จ่ายในการบูรณะปฏิสังขรณ์[4]

 

บทความแนะนำ